Tuesday, 31 August 2010

ชีวิตในอังกฤษช่วงที่สอง



        ไปเที่ยวเมือง Bournemouth กับเอลิน่า


          ทุกวันหยุดถ้ามีเวลาเจ๊เป็นได้เดินทางไปดูนู่นไปดูนี่ เป็นพวกอยากรู้อยากเห็น ไปเที่ยว Oxford เมืองมหาวิทยาลัย ก็สวยดี แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น บางวันก็ไปนั่งจิบน้ำชาเอิร์ลเกรย์กับเพื่อนนักเรียนจากกรีกที่อยู่บ้านเดียวกัน เธอน่ารักมาก เป็นเหมือนพี่สาวของเจ๊เลย มีอะไรเจ๊จะคอยเล่าให้เธอฟังเสมอและเธอก็รับฟังด้วยความยินดี เป็นที่พึ่งทางใจของเจ๊มาก เราไปเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆที่มีชื่อว่า Arundel และมีปราสาทใหญ่สวยงามมากชื่อเดียวกับชื่อหมู่บ้าน มีร้านน้ำชาขายขนมสโคนเต็มไปหมด น่ารักทุกร้าน เจ๊ชอบบบบบ ชนบทแบบนี้ คลาสสิคมาก



ลัลล้าที่เมือง Oxford



ปราสาท Windsor


          เมืองที่ไม่ควรพลาดนั้นคือ Windsor มีปราสาทใหญ่ชื่อเดียวกับเมืองอีกเช่นกัน และที่นั่นก็เป็นที่ตั้งของโรงเรียน Eton ซึ่งเจ้าชายวิลเลียมส์เคยไปเรียนสมัยยังเด็ก แหม้ เด็กอังกฤษในชุดเครื่องแบบนักเรียนนี่ดูดีจริงๆ เสียตรงที่มันไม่ค่อยหล่อนี่แหละ เมืองนี้น่ารักมาก หลังปราสาทก็มีสนามหญ้าให้นั่งปิคนิค เจ๊เดินเล่นในเมืองดูร้านขสยของฝากจนเหนื่อยก็ไปนั่งเอ้อระเหยลอยลมติ๊ต่างว่าชั้นเป็นเจ้าของปราสาท



Brighton Pavillion



          ใกล้กับเมืองที่เจ๊เรียนก็มีเมืองขนาดกลางให้เดินเล่นแก้เบื่อ Brighton คือสถานที่ที่วัยรุ่นชอบไปกันมาก มีร้านอาหาร มีแหล่งบันเทิง แถมมีราชวัง Brighton Pavillion ทรงอินเดียตั้งตระหง่านท้าลมหนาวที่ชายหาดด้วยนะ ข้างในตกแต่งด้วยสีแดงเหมือนของจีน ก็สวยไปอีกแบบ คงเพราะที่อังกฤษทีคนอินเดียเยอะเค้าเลยออกแบบนี้มามั้ง เจ๊ไม่รู้หรอกประวัติความเป็นมา ชอบดูแต่ไม่ชอบอ่านคำบรรยาย ขี้เกียจจำ เจ๊ไปเที่ยวมาทุกเมืองที่อยู่แถบนั้น ไหนๆก็มาอยู่ที่นี่แล้วดูๆให้หมด เจ๊เป็นคนชอบดูชอบเห็นทุกที่ ไม่เจาะจงไปเฉพาะแหล่งนักท่องเที่ยวเพราะบางทีมันก็มีหลายที่ที่สวยงามและคนไม่ค่อยรู้จัก



"Jeannie and Kerry" my best friends

           ไม่นานเจ๊ก็มีเพื่อนสนิทสองคนคือจีนนี่สาวยักษ์จากเดนมาร์คและแครี่สาวลูกครึ่งอังกฤษ - สก็อตที่เกิดที่อัฟริกาใต้ เราสามสาวใบเถาไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ช่วงที่เริ่มเรียนใหม่ๆนั้นงานยังไม่เยอะ เจ๊มีเวลาเดินส่ายไปส่ายมาในโรงอาหาร ซึ่งเรียกกันว่าคาเฟทีเรียหรือแคนทีน และแล้ววันหนึ่งก็เผลอ (จริงๆแล้วตั้งใจ) ไปสบตาปิ๊งๆๆเข้ากับหนุ่มอังกฤษผมยาวสีทองหน้าตาเหมือนผู้หญิง ในใจก็แบบว่า "กรีีด เสป็คชั้นเลย" แต่ท่าทางที่แสดงออกไปก็แค่ยิ้มพิมพ์ใจเล็กน้อย วางตัวนิดหน่อย ได้ผลโว้ย พี่แกหันคอมองตามเลยนะ นี่แหละมารยาหญิง คงไม่ต้องสอนกันเพราะเดี๋ยวนี้หญิงไทยเราก็แกร่งกล้าขึ้นมาก ผู้ชายจงพึงระวังเอาไว้ ไอ้ที่ว่าหวานน่ะอาจจะหวานแต่หน้า รู้จักไปนานๆธาตุแท้อาจจะโผล่มาเซอร์ไพรซ์ ไม่ต้องดูที่ไหนไกล อ่านอยู่นี่ไง จงดูเจ๊เอาไว้เป็นตัวอย่าง โฮ่ๆ


          ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะมีแฟน แต่เจ๊ในตอนนั้นช่างไร้เดียงสาและโง่เง่าเหลือเกิน แค่ขอให้ได้มีคนหน้าตาหล่อๆที่เรียกว่าเป็นแฟน เดินจูงมือกัน ไปเที่ยวบ้านของกันและกัน โทรคุยกัน แค่นั้นล่ะจิตใจก็เบ่งบานแล้ว และก็เพราะอย่างนี้น่ะสิถึงได้คบกันไม่นาน เพราะการที่มองใครแต่เพียงภายนอกนั้นน่ะไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริงหรอก ความรักแบบเด็กๆ ไม่นานก็จางหายไป นิสัยเข้ากันไม่ได้แถมเจ๊เองก็ใช่ย่อย มันโวยมาเจ๊ก็เห่า เอ๊ย ด่ากลับไป อารมณ์ร้อนทั้งคู่ แต่ก็ว่านะ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากมายนักหรอก ยังมองคนแค่เพียงรูปกายภายนอก ก็เด็กอ่ะ เอาไรมากมาย แถมสมัยนั้นเจ๊ยังกะโปโลเลยไม่ค่อยป็อปปูลาร์เท่าไหร่ แล้วใครหนอใครที่ว่าหนุ่มอังกฤษนั้นหล่อนักหนา เจ๊ไปอยู่มาเกือบสามปีเรียกว่านับคนได้เลยอ่ะ เลยล้มเลิกความตั้งใจหาแฟนเป็นหนุ่มผู้ดี ยิ่งสมัยนี้คำว่าผู้ดีน่ะหายไปไหนไม่รู้จากนิสัยของหนุ่มอังกฤษ  คนไทยเราอ่ะ รับวัฒนธรรมต่างชาติมาก็ชอบมองว่าพวกฝรั่งนั้นดีนักหนา ไอ้นู่นก็เท่ห์ ไอ้นี่ก็เก๋เห็นแล้วเริ่ดไปหมด ชีวิตจริงมันไม่ใช่ยังง้านนนน มันก็ไม่ต่างจากเราคนไทยนี่แหละคู้ณ แค่สีผมสีตามันต่างไปจากเราเท่านั้นเอง การใช้ชีวิตมันไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมายนักหรอก อย่าไปคิดว่าแต่งงานกับฝรั่งแล้วจะรวย ค่าเงินมันต่างกันทำให้ดูเหมือนว่าเค้าได้เงินเดือนเยอะกว่าเรามากมาย อยู่ในประเทศเค้าก็ไม่ต่างจากที่เราใช้กินใช้จ่ายในประเทศเราหรอก พอเค้ามาเมืองไทยของบ้านเรามันถุกกว่าเยอะน่ะสิถึงได้ดูเหมือนว่าเค้ารวย เชอะ (พูดแล้วสะบัดหน้าแรงๆด้วยนะ)


          ช่วงที่เรียนค่อนข้างหนักและเครียดๆนั้น เพื่อนทางจดหมายของเจ๊ที่อยู่เมือง Gloucester ได้เชิญเจ๊ไปเที่ยวหาตอนช่วงวันหยุดกลางเทอม เฮเลนสาวหวานน่าตาน่ารักและใจดี ครอบครัวเค้าดูแลเจ๊ดีมาก เมืองที่เค้าอยู่ไม่ค่อยมีอะไรมาก เค้าเลยพาเจ๊ไปช็อปปอ้งที่เมืองฝาแฝด Cheltenham จากนั้นก็ขับรถไปแถบชนบท ผ่านเมือง Burton on the water ซึ่งน่ารักมาก ช่วงนั้นอากาศหนาว หมอกลงทุกวัน สวยไปอีกแบบนึง แต่มันก็หนาวทรมานอยู่นะ การที่เราคนไทยเคยนุ่งน้อยห่มน้อยต้องมาใส่หลายๆชั้นแบบนี้มันรำคาญบังไงไม่รู้ อึดอัดก็อึดอัด ไม่ใส่ก็ไม่ได้




Burton on the Water


         ที่เมือง Stratford upon Avon นั้นเป็นบ้านเกิดของเช็คสเปียร์ เราไปเดินเล่นกัน ขนาดหนาวยังงี้ยังมีหงษ์ลอยอยู่บนน้ำในบึงเลย เจ๊เองจะให้อาบน้ำทีต้องบิดแล้วบิดอีกเหมือนเป็นโรคอะไรซักอย่างถูกน้ำไม่ได้ ทรม้านทรมานการอาบน้ำหน้าหน้าหนาวที่อังกฤษ ถึงแม้เค้าจะเปิดฮีทเตอร์ในบ้านแต่มันก็ไม่อุ่นพออยู่ดี (แต่ละบ้านนี่ก็งกจริงๆ จะเปิดมากก็กลัวเปลืองค่าไฟกัน) เมืองสุดท้ายที่ไปเที่ยวก์คือ Bristol ซึ่งเจ๊นั่งรถไฟกลับจากที่นั่น เมืองใหญ่ก็คล้ายกันหมด มีร้านค้า มีแหล่งบันเทิง เจ๊ชอบเมืองเล็กๆที่มีอะไรแปลกตาให้ดูมากกว่า ยุโรปไม่เหมือนบ้านเรา คนเค้าน้อย ร้านค้าส่วนมากก็เป็นสาขาเดียวกัน มีอยู่แทบทุกเมือง เรียกว่าไปไหนมาไหนทั่วประเทศก็เจอคนใช้ของเหมือนๆกัน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเดียวกัน ของใช้ในบ้านก็ซ้ำๆกัน พอมาอีแบบนี้ช็อปปิ้งก็ไม่หนุกง่ะ


           ตอนเทอมสองแผนกที่เจ๊เรียนเค้าได้จัดให้ไปเที่ยวต่างประเทศตอนเดือนเมษายน เป็นโชคดีที่ทางศูนย์นักเรียนนานาชาตินั้นเค้าออกค่าใช้จ่ายให้กับนักเรียนต่างชาติเจ๊เลยได้ไปฟรี วันเดินทางนักเรียนทั้งสองห้องก็มารวมตัวกันที่สนามหญ้าของโรงเรียนซึ่งพวกอาจารย์เค้าจัดรถบัสมารอรับแล้ว เราออกเดินทางกันตอนกลางคืนจาก Chichester ไปยังเมือง Dover ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษเพื่อที่จะขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังเมือง Calais ของฝรั่งเศส จากนั้นก็นั่งรถบัสต่อไป ขับผ่านประเทศ Belgium เข้าสู่ Netherlands มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง  Amsterdam และเข้าเช็คอินที่โรงแรมTerminus ซึ่งเป็นโรงแรมระดับสามดาวเท่านั้น แหม โรงเรียนคงไม่สนับสนุนให้นักเรียนพักโรงแรมห้าดาวหรอกนะ งบคงเกลี้ยงพอดี ดีที่โรงแรมนี้อยู่กลางตัวเมืองเลย ไปไหนมาไหนสะดวก ช่างเป็นเมืองหลวงที่พลุกพล่าน วุ่นวายและสกปรกเลอะเทอะเหลือเกิน ตามถนนก็มีทั้งคนเดินเท้า คนปั่นจักรยาน รถราง รถยนต์ แทบชนกันตายถ้าเดินไม่ระวัง ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่มีสเน่ห์เอาเสียเลย แถมเดินอยู่ดีๆมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้เอายาเสพย์ติดมาพยายามขายให้เจ๊กับเพื่อนจนเราต้องรีบเดินหนี เป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่เอาซะเลย แต่แหม ทำไมหนุ่มดัทช์มันหล่ออย่างงี้วุ้ยเนี่ย  สูงก็สูง ผมก็สีทอง ตาก็สีฟ้า คนอังกฤษน่ะไม่ค่อยมีหรอกนะผมทองตาฟ้าแล้วก็สูงๆน่ะ มาที่นี่เงยหน้ามองหนุ่มจนเมื่อยคอเลยไปทางไหนก็เจอแต่คนหน้าตาดีๆ ไม่รู้จะเลือกใคร (ทำยังกับว่าเค้าจะยอมให้เราเลือก)




Amsterdam
 


          ทัวร์ที่อาจารย์จัดไว้ก็คือนั่งเรือชมเมืองไปตามคลอง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าอัมสเตอร์ดัมนั้นล้อมรอบไปด้วยคลองมากมาย เจ๊ง่วงจัด นั่งหลับบนเรือเลยไม่ค่อยได้เห็นอะไร น่าเบื่ออ่ะ น้ำในคลองก็ดูคล้ำๆยังไงไม่รู้ จากนั้นเค้าก็ปล่อยให้เราเดินเที่ยวกันเอง ส่วนวันที่สองเค้าพาพวกเราไปเมืองชายทะเล Volendan สวยมาก เรียกได้ว่าไม่ควรพลาด ดีกว่าเมืองหลวงเยอะ ตามทางเดินเลียบทะเลมีร้านขายอาหารทะเลเต็มไปหมด เจ๊ซื้อปลาทอดมาเคี้ยว ก็เข้าท่าดี ถ้ามีซอสพริกแบบไทยๆอร่อยขึ้นเยอะ เราได้ไปดูสถานที่ที่เค้าผลิตรองเท้าไม้ด้วย แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครเค้าใส่แล้ว ดูท่าก็รู้คงจะเดินลำบากแถมเสียงดังอีกต่างหาก 




Volendam เมืองชายทะเลที่น่ารัก



โรงทำรองเท้าไม้

      
          ช่วงเย็นเค้าปล่อยให้เราไปไหนมาไหนเอง เจ๊กับเพื่อนสนิทในห้องสาวญี่ปุ่นชื่อมิซูสุกับเพื่อนชาวอังกฤษอีกสองคนก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ร้านค้ามากมาย คนก็พลุกพล่าน ยิ่งตามถนนสายหลักของเมืองหลวงนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งโลกีย์เลยทีเดียว มีผับมีบาร์เต็มไปหมด มีร้านนึงสาวๆใส่แต่บิกินี่เดินเสิร์ฟเครื่องดื่มด้วย โอ้ มีเต้นบิดไปบิดมาบนโต๊ะด้วย เจ๊กับเพื่อนอีกสามคนเลยตัดสินใจเข้าไปนั่งกันเพราะช่างตระการตาเหลือเกิน อยู่เมืองไทยไปผับแบบนี้เค้าคงหาว่าใจแตก (สมัยนั้นนะ ราวๆปี 1999) สำหรับฝรั่งแล้วการไปผับไปบาร์นั่งดื่มเหล้านั้นเป็นเรื่องปรกติ คนที่ทำงานที่นั่นก็เป็นคนกินเงินเดือนธรรมดา ไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นโสเภณีเหมือนบ้านเรา ผู้หญิงบางคนก็สูบบุหรี่แต่งตัวเซ็กซี่ยั่วยวนใจ แต่เค้าก็ไม่ใช่คุณตัว สังคมตะวันตกเค้าแสดงออกมากกว่าบ้านเรา สาวๆใส่เสื้อสายเดี่ยวไปไหนมาไหนได้สบายไม่ต้องคอยกลัวว่าใครจะมาฉุดเพราะเห็นกันจนชิน ดีไม่ดีไม่ต้องฉุดอีกต่างหาก ผู้หญิงฝรั่งน่ะเค้าร้อนแรงและไร้ความภูมิใจ จะไปไหนมาไหนกับใครก็ได้เพราะเค้าถือว่าผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน ไม่มีการรักนวลสงวนตัว เป็นทุกวัย ยิ่งพอเด็กสาวๆอายุเริ่มเข้าวัยทีนเอจ บางคนแค่ 11 ขวบก็แต่งหน้าทาปากเอาแบบโบ๊ะได้เท่าไหร่ก็โบ๊ะเข้าไปเลยทีเดียว เจ๊เห็นแล้วจาเป็งลม ไม่ขอมีลูกสาวเด็ดขาด ถ้ามีก็คงไม่เลี้ยงเมืองนอก เพราะดูพฤติกรรมของสาวๆเมืองนอกแล้วพูดได้คำเดียวว่ารับไม่ได้อย่างแรง ตัวเจ๊เองเรียกตัวเองว่าแร่ด แต่พูดได้ชัดถ้อยชัดคำเลยว่าไม่ร่าน


          วกกลับมาที่บาร์ต่อ นั่งดื่มๆเต๊ะท่าไปงั้นแหละ เจ๊ดื่มเหล้าไม่เก่ง ไวน์ครึ่งแก้วก็เมาแล้ว ไม่อยากจะเสียเงินค่าเหล้า สั่งมาแก้วเดียวจิบได้เป็นชั่วโมง มองดูหนุ่มๆให้ครึ้มอกครึ้มใจเป็นพอ มองจนได้เรื่อง เหมือนเป็นบุพเพสันนิศวาสให้คนๆนี้เข้ามาในชีวิตเรา (พูดแบบแนวลิเกเล็กน้อย) ก็สองในสามหนุ่มน้อยโต๊ะข้างๆอ่ะน่ารักน่าทำลาย เอ๊ยไม่ใช่ เจ๊ตั้งใจจะพูดว่าน่ารักน่าชังต่างหาก เห็นเค้ามองเราอยู่ตั้งนานแล้ว เจ๊เลยชวนมาร่วมวงเพื่อนเจ๊ อีกคนไม่หล่อเจ๊ขอไม่พูดถึง (ทุกท่านโปรดเข้าใจ นี่คือความโหดร้ายของสังคมปัจจุบันที่คนหน้าตาดีมักได้เปรียบคนอื่น) หนุ่มหล่อทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ก็ถึงว่ามันน่ารักไม่แพ้กัน คุยกันไป เล่นเกมส์กันไป เพื่อนๆก็ลุ้นว่าให้เลือกคนพี่ อีกคนก็ว่าให้เลือกคนน้อง เจ๊ก็แบบว่า ขอทั้งสองคนเลยไม่ได้เหรอ เลือกไม่ถูกอ่ะ แต่เนื่องจากสถานการณ์บังคับให้ต้องเลือกคนพี่ เลยใจจำยอม ยังเสียดายคนน้องมาจนทุกวันนี้ เพราะมาเจอกันอีกทีดันหล่อขึ้นเยอะ โฮ่ๆๆๆ แต่ดีแล้วที่ไม่ได้ทั้งสองคน คนพี่กลายมาเป็นนักเดินเรือ (เรือขนส่ง) คนน้องหน้าที่การงานดี หน้าตาหล่อเหลาน่าหยิกแต่ดันเป็นเพลย์บอย นี่แหละที่เค้าเรียกว่าการเวลาเปลี่ยนคนได้ เจ๊เองติดต่อกับคนพี่ได้ไม่ถึงปีก็มีอันเลิกรากันไป ความห่างไม่เคยปราณีใคร ดังนั้นขอให้เก็บเรื่องเจ๊ไว้สอนใจ รักคนใกล้ตัวดีกว่าคนไกลสายตา ไม่เสียทั้งค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทางไปหากันและกัน และไม่ต้องคอยพะวงว่ามันจะนอกใจเราหรือเราเองอาจจะเผลอใจไปรักคนอื่น




Misuzu กับ หนุ่มดัทช์ น้องFrank



   คนพี่ Jasper และน้องชาย Frank 


          วันต่อมาเราเดินทางไปเมือง Tilburg ซึ่งใกล้กันๆมีสวนสนุกใหญ่ชื่อ Efteling Theme Park มีเครื่องเล่นมากมาย แต่ต้องต่อแถวยาวหน่อย เจ๊ขึ้นรถไฟเหาะครั้งแรกในชีวิต น่ากลัวมาก เจ๊ร้องกรี๊ดๆตอนที่เครื่องมันแล่นไปด้วยความเร็วสูง ด้วยความเร็วและความแรงของมันทำให้เจ๊หุบปากไม่ได้ น้ำหลายก็ไหลย้อยออกมาจากปาก มิซูสุก็ตกใจนึกว่าเจ๊หัวใจวายน้ำลายฟูมปาก แบบว่าตอนนั้นตาเจ๊คงถลนด้วยแหละ กลัวสุดชีวิต แต่ก็ยังไม่เข็ดนะ ทุกวันนี้บางทีก็ไปเล่นอยู่ แต่หลับตาและหุบปาก จะได้ไม่มีใครเข้าใจผิดว่าเราหัวใจวายอีก

        


Efteling Theme Park



สวนสวยใน Efteling Theme Park


          ตอนเย็นเราเข้าพักที่โรงแรม เพื่อนทางจดหมายเจ๊ชาวดัทช์ได้มาเที่ยวหา เธออยู่เมือง Waasenaar ใกล้ๆนี้ ซึ่งเมืองนี้เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่คนรวยอยู่กัน มิเรลล่าเป็นสาวดัทช์ที่น่ารักมาก เสียงก็ดังพอๆกับเจ๊ พอเราหัวเราะพร้อมกันนี่เรียกว่าคนรอบข้างต้องหันมามอง วันต่อมาเราออกเดินทางต่อไปเมือง Brugges ทางตะวันตกของประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองสวยมรดกโลกขององค์กร Unesco มันสวยจริงๆนะ (หนุ่มเบลเยี่ยมก็หล่อ ไม่แพ้หนุ่มดัทช์ แต่ผมไม่ค่อยทองเท่านั้นเอง เลือกเอาเองว่าคุณชอบแบบไหน เจ๊ได้แค่แนะนำ ส่วนสาวๆนั้นเป็นที่รู้ๆกันว่าสามารถหาคนสวยได้ทั่วโลก โปะเครื่องสำอางค์เข้าไปหน่อยก็ขายออกกันแล้ว) บ้านเมืองเขาสร้างด้วยหินกับอิฐ มีคลองผ่านตามหลังบ้าน เดินไปทางไหนก็สวยไปหมด แถมมีร้านขนมตรึมเลย ขายช็อกโกแล็ตขาวของเบลเยี่ยมกับลูกมาร์ซิแพนที่ทำมาจากอัลมอนด์บดผสมกับน้ำตาลและไข่ขาว ใส่สีเข้าไปปั้นเป็นก้อนๆ ก็คล้ายๆลูกชุบบ้านเราเพียงแต่เค้าไม่ได้ชุบเท่านั้นเอง พลาดไม่ได้ ของอร่อยอย่าลืมชิม ตอนเย็นก็เตรียมขึ้นเรือที่เดิมกลับอังกฤษ โดยแวะช้อปปอ้งที่ร้านค้าปลอดภาษีกัน น้ำหอมถูกมาก เจ๊ซื้อขวดเล็กๆไปฝากเพื่อนๆเยอะแยะเลย เป็นการเดินทางทีสนุกสนานแต่ยังไม่เรียกว่าประทับใจสุดๆ




เมืองแห่งมรดกโลก Brugges









          ที่ไหนทำให้เจ๊รู้สึกแบบนี้ได้งั้นเหรอ นี่เลย สวิตเซอร์แลน ก็หลังจากกลับมาอังกฤษได้สองวันเจ๊ก็ได้เดินทางต่อไปทีสวิส เจ๊เป็นคนชอบเขียนจดหมายติดต่อกับเพื่อนต่างประเทศตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ที่ลำปาง เจ๊ได้สมัครเป็นสมาชิกขององค์กรเพื่อนทางจดหมายนานาชาติ ได้เพื่อนมาเยอะมาก เรียกได้ว่าเกินร้อย ส่วนมากมาจากเยอรมันเพราะตอนนั้นเจ๊คลั่งไคล้เยอรมันเสียเหลือเกิน เพื่อนทางจดหมายเจ๊เรียกได้ว่ามาจากแทบทุกเมืองของเยอรมัน เจ๊สนุกกับการเขียนเล่าชีวิตเราและการอ่านเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน เป็นการฝึกภาษาอีกทางหนึง ส่งโปสการ์ดให้กันไปให้กันมา ได้เห็นรูปสวยๆเยอะแยะทำให้เรารู้ได้ว่าที่ไหนน่าไปเที่ยว ช่วงไปถึงอังกฤษใหม่ๆเป็นเวลาเดียวกับที่เพื่อนทางจดหมายชาวสวิสของเจ๊ชื่อว่าอันย่าได้ไปเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นที่เมือง Southampton เจ๊เลยนั่งรถไฟไปเที่ยวหาและได้ไปดูอนุสาวรีย์ไททานิคด้วย จากนั้นเธอก็เชิญเจ๊ไปเที่ยวที่สวิสสองอาทิตย์ เธอส่งจดหมายเชิญมาให้เจ๊เพื่อเอาไปขอวีซ่า อยู่อังกฤษแย่อยู่อย่างคือมันไม่รวมอยู่ในกลุ่มประเทศเช็งเก้น จะไปไหนมาไหนในยุโรปทีก็ต้องไปขอวีซ่า เซ็งจะตาย เปลืองเงินค่ารถไฟเข้าลอนดอนเอย ค่าวีซ่าเอย ไม่ใช่น้อยๆ



Southampton



Titanic Memorial



          สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยมาก สวยที่แบบชีวิตนี้จำแล้วไม่ลืมเลยทีเดียว ตอนที่ไปอยู่กับบ้านอันย่านั้นเจ๊มีความสุขแทบลืมโลก ซึ่งไม่ได้คิดเลยว่าอีกแค่สามปีให้หลังเจ๊จะได้ไปเรียนต่อที่นั่น  และเนื่องจากสวิสเป็นประเทศเล็ก ขับรถจากเหนือสุดไปใต้สุด ตะวันออกสุดไปตะวันตกสุดนั้นไม่มากไปกว่า 6-7 ชั่วโมง บ้านอันย่าอยู่ใกล้กับเมือง St Gallen ซึ่งห่างจาก Zurich แค่ 1 ชั่วโมง แม่กับอันย่าไปรับเจ๊ที่สนามบิน บ้านเมืองสวิสดูสวยงาม คลาสสิคถูกใจเจ๊มาก โดยเฉพาะตามชนบท ยิ่งตามภูเขายิ่งแล้ว มีทิวทรรศน์ที่ตระการตาตระการใจอย่างมาก ทุกวันพ่อแม่อันย่าจะทำอาหารแบบพื้นเมืองให้ทาน ไมว่าจะเป็นชีสฟองดู มันฝรั่งต้มที่ขูดเป็นฝอยๆแล้วก็ทอด ชีสย่างราดหน้ามันฝรั่ง โอ๊ย สาระพัด อิ่มท้องแตกทุกวัน เค้าดูแลเราอย่างดีมากทั้งๆที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมายมาก่อน ไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร เค้าพาเที่ยวแบบสุดๆไปเลยอีกต่างหาก เจ๊ไม่ต้องออกเงินเองซักอย่าง เค้าซื้อตั๋วรถไฟให้หมดถ้าวันไหนเค้าไม่ได้ขับรถพาไป ยายของอันย่าอยู่ที่เมืองชนบนชื่อว่า Appenzel เป็นที่มาของชีส Appezeller ที่เหม็นๆเค็มๆ มันๆแต่อร่อยอย่าบอกใครกับขนมเค็กผสมเครื่องเทศรูปร่างๆกลมๆแบนๆใส่ไส้อัลมอนด์บดผสมไข่ขาวกับน้ำผึ้ง ขนมโปรดของเจ๊มีชื่อตลกๆว่า Biberli ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเขาขายทั้งแบบอันเล็กๆมีไส้กับอันใหญ่ทั้งมีไส้และไม่มี เจ๊ซื้อกินทุกวันขอบอก ส่วนตัวเมืองนั้นก็น่ารักดี ไม่สะดุดตามากเท่าไหร่ ดูนู่นดูนี่แป้บๆก็รอบเมือง จากนั้นเค้าขับรถพาเราไปบ้านลุงของอันย่าซึ่งทำฟาร์มแพะอยู่บนเขาของเมือง Stein โอ้ละหนอ ชีวิตแบบนี้แหละที่เจ๊อยากได้ อย่างกับในหนังเรื่องจงรักเลย ตามหน้าต่างจะปลูกดอกเจอราเนี่ยมซึ่งเป็นความนิยมของชาวสวิส เจ๊วิ่งไปบนเนินแล้วมองลงมาที่ฟาร์มเป็นภาพที่สวยมาก แทบจะขออยู่เป็นคนเลี้ยงแพะที่นั่นเลยนะ ความสูงต่ำของภูเขาทำให้เกิดทิวทรรศน์ที่สวยงามเหนือคำบรรยาย ยิ่งตอนที่เค้าขับรถพาเจ๊ขค้นไปบนเขาสูงชื่อ Steinegg  ผ่านหุบเขาเล็กหุบเขาน้อย ทางลาดทางชันไปยังที่ที่เขาเอาแพะขึ้นไปกินหญ้าตอนช่วงหน้าร้อนแล้วเจ๊แทบเป็นลมในความสวย ขากลับเราแวะดูโบถส์ที่เมือง Herisau ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่อันย่ากัน ชนบทของสวิสสวยมาก เจ๊ประทับใจไม่เคยลืม (และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่สะบัดก้นหนีอังกฤษไปเรียนต่อที่สวิสแทน)




ครอบครัว Harder ที่เมือง Gossau



โรงงานผลิตชีส Apenzeller



เมือง Apenzell



หุบเขาที่เมือง Stein ซึ่งลุงของอันย่ามีฟาร์มแพะที่นั่น



เมือง Hasler ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่อันย่า

No comments: